Wednesday, May 23, 2012

Episode III : ยืมดาบฆ่าคน



               คำนี้หลายท่านอาจจะเคยได้ยินคุ้นหู และหลายท่านอาจจะเข้าใจความหมายเป็นอย่างดี แต่อาจจะมีอีกหลายท่านที่ยังไม่เข้าใจ และไม่ทราบที่มาของคำนี้ ดังนั้นในบทนี้ผมจะขอพูดถึงคำนี้กันครับ


"ยืมดาบฆ่าคน" ปรากฎอยู่ในตำราพิชัยยุทธของซุนวู นักปราชญ์และนักรบสมัยราชวงศ์โจว ได้กล่าวว่า
"หากอยากได้ชัยชนะแล้ว การยืมดาบฆ่าคน เป็นกลยุทธ์ที่แยบยลและไม่เสียกำลังพล"

รูปปั้นซุนวู ที่เมืองยุริฮิมะ จังหวัดทตโตะริ ประเทศญี่ปุ่น

               ขยายความออกไปได้อีกว่า เมื่อข้าศึกมีท่าทีแจ่มชัด แต่กำลังของฝ่ายเรายังมิกล้าแข็ง ควรจะหาทางอาศัยกำลังของพันธมิตรไปโจมตีข้าศึก หลีกเลี่ยงการสูญเสียของฝ่ายเราด้วยวิธีทั้งปวง หรืออีกนัยหนึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า "ศัตรู ของ ศัตรู คือ มิตร"

              

จิวยี่ ผู้ต้ดพ้อต่อสวรรค์ถึงการมาของจูกัดเหลียง ขงเบ้ง


 เทียนกี้แซยี่ ฮ่อปิ๊ดแซเหลียง
ฟ้าให้จิวยี่มาเกิด ไฉนจึงให้จูกัดเลี่ยงมาเกิดด้วยเล่า..
         


               ในนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ สามก๊ก ได้ปรากฎว่ามีการใช้กลยุทธนี้หลายครั้งหลายครา ผมจะขอยกตัวอย่างคราวศึกเซ็กเพ็กระหว่างฝ่ายเล่าปี่และซุนกวน กับฝ่ายโจโฉ ซึ่งจิวยี่ได้หลอกให้โจโฉฆ่าซัวมอและเตียวอุ๋นสองแม่ทัพเรือของตนเอง

               "เมื่อคราวที่โจโฉยกทัพไปตีเกงจิ๋วได้จากเล่าจ๋อง ก็นำกำลังทหารหมายโจมตีกังตั๋งของซุนกวนเป็นลำดับต่อไป โจโฉมีทหารในกองทัพเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเหนือ ชำนาญการรบทางบกไม่ชำนาญการรบทางน้ำ โจโฉมีความจำเป็นที่จะต้องอาศัยซัวมอและเตียวอุ๋น นายทหารชาวเกงจิ๋วเป็นแม่ทัพช่วยในการทำศึกทางน้ำ และเป็นผู้ควบคุมฝึกสอนทหารโจโฉให้ชำนาญการเดินทัพทางเรือ จิวยี่ทราบข่าวการเตรียมทัพเรือของโจโฉจึงลอบมาสังเกตการณ์ยังค่ายทหาร และเมื่อเห็นการฝึกทหารของซัวมอและเตียวอุ๋น จิวยี่เห็นจะปล่อยคนทั้งสองไว้แก่โจโฉต่อไปเกรงจะเกิดภัยแก่ตัวในศึกครั้งนี้ จึงหาทางวางแผนกำจัดเสียให้สิ้นซาก โจโฉส่งเจียวก้านให้มาเกลี้ยกล่อมจิวยี่หมายทำราชการด้วย จิวยี่จึงวางกลอุบายซ้อนแผนกลหลอกใช้เจียวก้านในการกำจัดซัวมอและเตียวอุ๋น โดยพาเจียวก้านกลับบ้านและให้กินโต๊ะก่อนแสร้งทำเป็นเมามายไม่ได้สติ จิวยี่พาเจียวก้านไปนอนยังเตียงเดียวกันในห้อง เจียวก้านลอบเห็นจดหมายลับที่จิวยี่เขียนและวางไว้จึงหยิบออกอ่านโดยมีเนื้อความในจดหมายว่า "ซัวมอและเตียวอุ๋นเอาใจออกห่าง และจะตัดศีรษะโจโฉมาให้" เมื่อเจียวก้านอ่านจดหมายลับของจิวยี่จบก็ดีใจ รีบนำจดหมายนั้นมามอบให้แก่โจโฉหวังความดีความชอบแก่ตน
               โจโฉไม่เท่าทันแผนกลอุบายของจิวยี่ เมื่อได้อ่านจดหมายลับจากเจียวก้านก็โกรธแค้นจึงสั่งประหารซัวมอและเตียวอุ๋นทันที แต่ภายหลังได้แลเห็นศีรษะของแม่ทัพเรือทั้สอง โจโฉก็รู้ว่าตนเองนั้นต้องกลอุบายของจิวยี่ที่สั่งฆ่าคนของตนที่เป็นแม่ทัพและชำนาญในการเดินเรือ เมื่อโจโฉไม่มีซัวมอและเตียวอุ๋นในการทำศึกทางเรือ ก็ถูกจูกัดเหลียงและจิวยี่เผากองทัพเรือจนพ่ายแพ้ยับเยินในเวลาต่อมา เจี้ยเตาซาเหรินหรือกลยุทธ์ยืมดาบฆ่าคนของจิวยี่ ก็ประสบความสำเร็จในตัดกำลังสำคัญในการนำทัพเรือของโจโฉ ทำให้ได้รับชัยชนะได้อย่างงดงาม"


Resource: http://th.wikipedia.org/wiki


               การศึกครานั้นอาจจะมองว่าฝั่งซุนกวน โดยจิวยี่ ได้ใช้กลยุทธ"ยืมดาบฆ่าคน" ทำให้รบชนะโจโฉได้อย่างง่ายดาย แต่แท้จริงแล้วถ้าจะมองให้ดีก่อนศึกครานี้จะเริ่มขึ้นนั้น แท้จริงแล้วโจโฉได้พุ่งเป้าไปที่เล่าปี่ แต่ด้วยยอดกุนซืออย่าง จูกัดเลี่ยง ขงเบ้ง จึงได้ออกอุบาย "ยืมดาบฆ่าคน" ให้ฝ่ายซุนกวนและจิวยี่ ออกรบกับโจโฉแทน งานนี้อาจจะเรียกได้ว่าผู้ที่ใช้กลยุทธนี้แบบไม่ได้ออกแรงจริงๆแล้ว ก็คือฝ่ายเล่าปี่นั้นเอง


ศึกผาแดง หรือ ศึกเซ็กเพ็ก

               การทำสงครามย่อมไม่ต่างจากการทำธุรกิจ เราจะมีทั้งศัตรูและมิตร ขณะเดียวกัน มิตรและศัตรูของเรานั้น หาใช่มิตรหรือศัตรูที่ถาวรไม่ วันหนึ่งหากเราต้องการจัดการอะไรกับใครสักคนหนึ่ง เรื่องที่ง่ายที่สุดที่จะไม่ทำให้เราต้องเหนื่อยแรง นั้นก็คือการขอแรงจากคนอื่นให้มาช่วยเรา 

ภาพจาก กรงุเทพธุรกิจ ออนไลน์


               ที่ผมนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เนื่องจากผมได้มีโอกาสอ่านบทความหนึ่ง ใจความว่า "มีชายท่านหนึ่งเห็นหมา 4 ตัว เป็นตัวผู้ 3 ตัว ที่กำลังขู่ใส่กัน และอีก 1 คือ หมาตัวเมีย ก็เลยคาดว่าหมาตัวผู้เหล่านั้นคงกำลังแสดงพลังเพื่อหวังครอบครองใจหมาสาวแสนสวยนั้นเอง แล้วทันใดนั้น หมาหนุ่มสีเทาก็กระโดดงับเจ้าแดงแล้วสะบัด โดยที่เจ้าแดงก็ไม่ยอมเช่นกันส่งเสียงคำรามและพยายามงับคู่ต่อสู้กลับ ส่วนเจ้าขาวหมาที่ดูอ่อนแอกว่าใครกลับทำท่าสงบเสงี่ยม เจ้าเทากับเจ้าแดงฟัดกันอยู่สักพักหนึ่ง ก็ปรากฎว่าทั้ง 2 ตัวต่างบาดเจ็บและไล่ฟัดกันออกไปเรื่อยๆสุดท้ายเจ้าขาวที่ไม่เสียแรงอะไรเลย กลับได้ควงคู่กับเจ้าหมาสาวแสนสวยไปแทน"




"ฉะนั้นแล้วผมก็คงจะปล่อยให้ไอ้เทากับไอ้แดงกัดกันไป ส่วนผมก็จะทำงานต่อไปอย่างเรียบๆ เงียบๆ รอดู เมื่อไรที่ไอ้ 2 ตัว ห่ำหันกันจนบาดเจ็บไปทั้งสองฝ่าย แล้วไอ้ขาวอย่างผม ค่อยแสดงตัวออกมาชนิดที่ไม่ต้องเสียแรงอะไรเลย"

Tuesday, May 15, 2012

Episode II : Ca Fe Suo Da

               "Ca Fe Suo Da" ผมสั่งกาแฟเย็นใส่นมกับพนักงานที่รอรับออเดอร์อยู่ ด้วยภาษาเวียดนาม แต่ออกสำเนียงแปลกๆหน่อย ก็ไม่เป็นไร ให้พนักงานเข้าใจและมาเสิร์ฟถูกก็เป็นใช้ได้ ที่เวียดนามนอกจากจะเป็นสิงห์นักดื่มเบียร์แล้ว ยังเป็นคอกาแฟตัวยง กินชากาแฟกันได้ทั้งวัน มีร้าน Coffee Shop เต็มไปหมดแถบทุกถนน ทุกสายในโฮจิมินห์ และที่สำคัญประเทศเวียดนามจัดได้ว่าเป็นแหล่งกำเนิดเมล็ดกาแฟเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากบราซิล เพียงประเทศเดียว (ข้อมูลล่าสุดเมื่อ 24 มค. 2012 : Top 10 Coffee Producing Countries จากเวปไซด์ tiptoptens.com)

"Ca fe suo da"




               กาแฟที่นี้มีรสชาดเข้มข้นและหอมกลิ่นนมข้นหวาน วิธีการชงนั้นก็จะไม่เหมือนที่อื่น คือจะมี "ถ้วยกรอง" สำหรับใส่ผงกาแฟที่บดแล้วลงไปและใส่น้ำร้อนตาม โดยให้น้ำกาแฟหยดลงในแก้วทีละหยด มาผสมกับนมข้นหวานที่รออยู่ด้านล่าง (หรือจะใส่น้ำตาลแทนก็ได้ แต่ถ้าเอาแบบต้นฉบับคนเวียดนามก็นมข้นหวานครับ) ขอแนะนำว่าใครที่ใจร้อน คงต้องข้ามกาแฟแบบเวียดนามนี้ไป เพราะว่าแบบนี้เหมาะสำหรับคอกาแฟตัวจริงที่จะนั่งรอกาแฟทีละหยด ซึ่งถ้าใครได้ลองชิมแล้ว ผมรับรองว่าจะต้องติดใจในรสชาดของกาแฟเวียดนามแน่นอน


               ในเดือน พค.นี้ ที่นี้มีฝนตกหนักเกือบทุกวันในโดยเฉพาะในช่วงเย็นๆ ดังนั้นช่วงเช้าถึงบ่ายจะร้อนอบอ้าวเป็นพิเศษ วิธีที่จะเรียกจิตวิญญาณของผมกลับมาสู่ร่างเดิมอีกครั้ง ก็คือการได้มานั่งร้าน Coffee Shop ทำสรุปรายงานเพื่อเตรียมนำเสนอเจ้านายไป จิบกาแฟเย็นๆ ไปด้วย เป็นอะไรที่วิเศษที่สุดสำหรับผมแล้วครับ

"How To Make Vietnamese Coffee"

               ผมกำลังจะเดินทางกลับประเทศไทยในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งกลับไปก็มีนัดกับเจ้านายสรุปและรายงานสถานการณ์ภาพรวมของตลาดในเวียดนาม รวมไปถึงสถานการณ์หรือปัญาภายในของบริษัทฯที่เวียดนามที่เราร่วมทุนกับหุ้นส่วนคู่สามี-ภรรยาชาวเวียดนาม โดยมีฝ่ายสามีเป็นผู้ดำเนินการและบริหารจัดการบริษัทฯนี้ทั้งหมดจากที่ได้ก่อตั้งขึ้นประมาณ 2 ปีกว่าๆ แต่ยังไม่สามาถดำเนินธุรกิจหรือมีผลประกอบการที่ดีนัก เมื่อเทียบกับคู่แข่งขันหรือขนาดของตลาด


               ประมาณปลายปีที่ผ่านมา ทางบริษัทฯแม่ ในประเทศไทย ได้เคยตัดสินใจที่จะยุติการร่วมทุนกับหุ้นส่วนคู่สามี-ภรรยาชาวเวียดนามมาแล้วครั้งหนึ่ง  ซึ่งทางฝ่ายสามีผู้ดำรงตำแหน่ง CEO ในขณะนั้น ก็ได้ตัดสินใจแสดงความรับผิดชอบโดยการลาออกและจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมใดใดในบริษัทฯอีก แต่ขอให้ภรรยาตน ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน
มาดูแลและดำรงตำแหน่ง CEO แทน !?!


               เมื่อฝ่ายภรรยาได้เข้ามาดำรงตำแหน่งแทน เมื่อประมาณช่วงปลายปีมาจนถึงสิ้นเดือน เม.ย. ผลก็เป็นไปตามคาดเนื่องจากก่อนหน้านี้เป็นฝ่ายสามีที่ดำเนินการ ติดต่อธุรกิจ บริหารจัดการทุกอย่าง ซึ่งภรรยาไม่ได้รับรู้วิธีการหรือขั้นตอนใดใดมาก่อนเลย ดังนั้นทุกอย่างก็กลับมาเป็นฝ่ายสามีตัดสินใจเหมือนเดิม เพียงแต่สิ่งที่ออกมาก็คือในนามของภรรยาเท่านั้นเอง ทำให้เมื่อช่วงต้นเดือนพค. ที่ผ่านมา บริษัทฯแม่จากประเทศไทย จึงตัดสินใจเด็ดขาดที่จะยุติการดำเนินธุรกิจร่วมกับสองสามีภรรยาคู่นี้ต่อไป โดยจะจัดตั้งบริษัทฯ ใหม่และถือหุ้นเอง 100%


               ซึ่งพอจะสรุปปัญหาตลอดระยะเวลาประมาณ 6 เดือนที่ผมได้เข้ามาดู หลังจากฝ่ายภรรยาเข้ามาตำรงดำแหน่ง CEO ว่าทำไมบริษัท ยังประสบปัญหาแบบเดิมอยู่ ก็พบว่า


"สาเหตุมาจากผู้บริหารคนใหม่ไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานหรือเกี่ยวกับด้านนี้มาก่อน อีกทั้งการจัดการหรือการตัดสินใจใดใด ก็ยังขึ้นอยู่กับอีกคนหนึ่ง ซึ่งผู้บริหารปัจจุบัน เป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น ทำให้การจัดการล่าช้า และยังเป็นปัญหาแบบเดิมๆ เนื่องจากวิธีการมาจากผู้บริหารคนก่อนที่มีปัญหาแล้วลาออกไป"


               มาถึงตรงนี้แล้ว ก็พอจะพูดได้ว่าถ้าเอาผู้นำที่ไม่มีความรู้ ความสามารถ อีกทั้งยังเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดของใครบางคนอยู่ ไม่ได้มีความคิดเป็นของตนเอง จึงทำให้ไม่สามารถดำเนินกิจการหรือทำธุรกิจให้อยู่รอดได้ นี้ขนาดแค่กิจการบริษัทเล็กๆแห่งหนึ่งเท่านั้น



"ถ้าเกิดมีคนทำลักษณะแบบเดียวกัน
กับสองสามีภรรยาคู่นี้
แต่เป็นในระดับประเทศ

ผมไม่อยากจะคิดเลยว่าผลจะเป็นอย่างไร"




Sunday, May 13, 2012

Episode I : Beginning

My Phuoc Apartment

 Bui Huu Nghia St., Binh Thanh district
Ho Chi Minh City, Vietnam


"อพาร์ตเม้นของผมเอง"

               เริ่มกลับมาปัดฝุ่นบอกเล่าเรื่องราวอีกครั้ง หลังจากที่ได้เห็นเพื่อนเริ่มเขียนบล็อกขึ้นมา ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่า ผมเองก็มีบล็อกเหมือนกัน แต่ไม่ได้ทำอะไรกับมันสักที ในตอนแรกที่ทำบล็อก ตั้งใจว่าตอนมาอยู่เวียดนามก็จะเขียนเรื่องราวบอกเล่าบันทึกความทรงจำกับประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้โอกาสมาอยู่อาศัยในต่างแดน วันนี้จึงตั้งใจว่าจะปัดฝุ่นและทำมันให้เสร็จสักที !



ไซง่อนเมืองแห่งการดื่ม

                              


               ถ้าบอกว่าเยอรมันเป็นเมืองเบียร์ ผมก็ขอยกให้ไซง่อน เวียดนามเป็นเมืองเบียร์ของชาติตะวันออกเลยทีเดียวด้วยความที่ไซง่อนมีร้านค้า ร้านอาหารริมสองข้างทางเยอะมาก ตั้งแต่ร้านริมฟุตบาทข้างทาง นั่งยองๆ ดมควันรถ หรือระดับร้านอาหารภัตราคารหรูย่านธุรกิจต่างๆ ผู้คนที่นี้นิยมดื่มเบียร์เป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าจะเห็นดื่มกันตั้งแต่เช้าจนถึงยามราตรี ร้านค้าจะมีคนเข้าออกตลอดเวลา ส่วนเบียร์ที่นิยมที่สุดก็คงจะเป็น Saigon Beer ซึ่งเป็นเบียร์ท้องถิ่นและมีรสชาดที่ดีที่เดียว แม้จะมีเบียร์หลากหลายยี่ห้อที่เข้ามาเล่นในตลาดเวียดนาม (แต่ผมยังไม่เห็นค่ายสิงห์ หรือช้างเข้ามาในตลาดนี้เลย ไม่ทราบว่าเพราะอะไรเหมือนกัน) ทุกยี่ห้อต่างก็มีแค่แบบกระป๋องและขวดแก้วขนาดเล็ก ไม่มีขวดใหญ่


               คนเวียดนามค่อนข้างชาตินิยม ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงมาจากการที่เวียดนามมีประวัติศาสตร์ที่ค่อนข้างเจ็บปวดเกี่ยวกับสงครามที่รบราฆ่าฟันกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นที่จับตามองจากทั่วโลกในขณะนั้น จนหลายฝ่ายต้องออกมาเรียกร้องอเมริกาพี่ใหญ่ในขณะนั้นให้หยุดทำสงครามเสียที


"Imagine there's no heaven It's easy if you try
No hell below us Above us only sky
Imagine all the people Living for today
Imagine there's no countries It isn't hard to do
Nothing to kill or die for And no religion too
Imagine all the people Living life in peace"


               ถ้ายังพอจำกันได้นักร้องจากฝากฝั่งอังกฤษ John Lenon จากวง The Beatle ก็ได้แต่งเพลง Imagine เพื่อเรียกร้องสันติภาพและการยุติสงครามในขณะนั้น จากฝั่งไทยก็จะเป็นกลุ่มนิสิตนักศึกษา นักคิดนักเขียนต่างๆที่ออกมาแสดงความคิดเห็นเรียกร้องสันติภาพ ที่เราพอจะรู้จักก็คงเป็นจะกลุ่มของน้าหงาคาราวาน กับบทเพลงเพื่อชีวิต


               ซึ่งจากเหตุการณ์ความเลวร้ายของสงครามอันยาวนานที่ผ่านมาทำให้ทุกคนที่นี้รักชาติ  และเรียนรู้ถึงความผิดพลาดที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี ซึ่งเวียดนามในวันนี้ เป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าจับมองเลยทีเดียว

"ภาพรถถังบุกเข้ารัฐสภาที่ทำการของเวียดนามใต้ในขณะนั้น
และภาพการประกาศอิสรภาพรวมถึงการรวมประเทศ"


               พอผมได้รับทราบประวัติของชนชาติเวียดนามเบื้องต้นแล้ว ก็กลับมาย้อนถึงนึกชนชาติหนึ่งที่มีทรัพยากรณ์ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ผู้คนอยู่กันสุขสบาย อีกทั้งยังไม่เคยผ่านเหตุการณ์ความโหดร้ายของสงครามเหมือนอย่างเวียดนามมาก่อน แต่ผมกลับรู้สึกว่าคนในชาติไร้ความสามัคคี ไม่รักกัน แบ่งพรรค แบ่งฝ่าย แบ่งสี มองแต่ประโยชน์ตนเองก่อนผืนแผ่นดินเกิดที่ตนเองอาศัยอยู่


               ก็ได้แต่หวังว่าสักวันคนในประเทศนั้นจะคิดได้ ก่อนที่จะต้องรอให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงหรือเลวร้ายเหมือนอย่างที่คนเวียดนามเคยเจอ ถึงจะค่อยหันหน้ามาสามัคคีกัน รักกัน อีกครั้ง ใครอาจจะคิดว่าผมเพ้อฝัน แต่ผมก็ยังเชื่อตามที่ "John Lenon" ได้กล่าวไว้ในบทเพลงของเขาเอง


"You may say I’m a dreamer
But I'm not the only one
I hope someday you'll join us 
And the world will be as one"


"ศึกษาประวัติศาสตร์เขาแล้ว ลองย้อนกลับมาดูตัวเรากันเถอะครับ"





Apt_sekit @ My Phouc Apartment
13-05-2012