Tuesday, May 15, 2012

Episode II : Ca Fe Suo Da

               "Ca Fe Suo Da" ผมสั่งกาแฟเย็นใส่นมกับพนักงานที่รอรับออเดอร์อยู่ ด้วยภาษาเวียดนาม แต่ออกสำเนียงแปลกๆหน่อย ก็ไม่เป็นไร ให้พนักงานเข้าใจและมาเสิร์ฟถูกก็เป็นใช้ได้ ที่เวียดนามนอกจากจะเป็นสิงห์นักดื่มเบียร์แล้ว ยังเป็นคอกาแฟตัวยง กินชากาแฟกันได้ทั้งวัน มีร้าน Coffee Shop เต็มไปหมดแถบทุกถนน ทุกสายในโฮจิมินห์ และที่สำคัญประเทศเวียดนามจัดได้ว่าเป็นแหล่งกำเนิดเมล็ดกาแฟเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากบราซิล เพียงประเทศเดียว (ข้อมูลล่าสุดเมื่อ 24 มค. 2012 : Top 10 Coffee Producing Countries จากเวปไซด์ tiptoptens.com)

"Ca fe suo da"




               กาแฟที่นี้มีรสชาดเข้มข้นและหอมกลิ่นนมข้นหวาน วิธีการชงนั้นก็จะไม่เหมือนที่อื่น คือจะมี "ถ้วยกรอง" สำหรับใส่ผงกาแฟที่บดแล้วลงไปและใส่น้ำร้อนตาม โดยให้น้ำกาแฟหยดลงในแก้วทีละหยด มาผสมกับนมข้นหวานที่รออยู่ด้านล่าง (หรือจะใส่น้ำตาลแทนก็ได้ แต่ถ้าเอาแบบต้นฉบับคนเวียดนามก็นมข้นหวานครับ) ขอแนะนำว่าใครที่ใจร้อน คงต้องข้ามกาแฟแบบเวียดนามนี้ไป เพราะว่าแบบนี้เหมาะสำหรับคอกาแฟตัวจริงที่จะนั่งรอกาแฟทีละหยด ซึ่งถ้าใครได้ลองชิมแล้ว ผมรับรองว่าจะต้องติดใจในรสชาดของกาแฟเวียดนามแน่นอน


               ในเดือน พค.นี้ ที่นี้มีฝนตกหนักเกือบทุกวันในโดยเฉพาะในช่วงเย็นๆ ดังนั้นช่วงเช้าถึงบ่ายจะร้อนอบอ้าวเป็นพิเศษ วิธีที่จะเรียกจิตวิญญาณของผมกลับมาสู่ร่างเดิมอีกครั้ง ก็คือการได้มานั่งร้าน Coffee Shop ทำสรุปรายงานเพื่อเตรียมนำเสนอเจ้านายไป จิบกาแฟเย็นๆ ไปด้วย เป็นอะไรที่วิเศษที่สุดสำหรับผมแล้วครับ

"How To Make Vietnamese Coffee"

               ผมกำลังจะเดินทางกลับประเทศไทยในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งกลับไปก็มีนัดกับเจ้านายสรุปและรายงานสถานการณ์ภาพรวมของตลาดในเวียดนาม รวมไปถึงสถานการณ์หรือปัญาภายในของบริษัทฯที่เวียดนามที่เราร่วมทุนกับหุ้นส่วนคู่สามี-ภรรยาชาวเวียดนาม โดยมีฝ่ายสามีเป็นผู้ดำเนินการและบริหารจัดการบริษัทฯนี้ทั้งหมดจากที่ได้ก่อตั้งขึ้นประมาณ 2 ปีกว่าๆ แต่ยังไม่สามาถดำเนินธุรกิจหรือมีผลประกอบการที่ดีนัก เมื่อเทียบกับคู่แข่งขันหรือขนาดของตลาด


               ประมาณปลายปีที่ผ่านมา ทางบริษัทฯแม่ ในประเทศไทย ได้เคยตัดสินใจที่จะยุติการร่วมทุนกับหุ้นส่วนคู่สามี-ภรรยาชาวเวียดนามมาแล้วครั้งหนึ่ง  ซึ่งทางฝ่ายสามีผู้ดำรงตำแหน่ง CEO ในขณะนั้น ก็ได้ตัดสินใจแสดงความรับผิดชอบโดยการลาออกและจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมใดใดในบริษัทฯอีก แต่ขอให้ภรรยาตน ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน
มาดูแลและดำรงตำแหน่ง CEO แทน !?!


               เมื่อฝ่ายภรรยาได้เข้ามาดำรงตำแหน่งแทน เมื่อประมาณช่วงปลายปีมาจนถึงสิ้นเดือน เม.ย. ผลก็เป็นไปตามคาดเนื่องจากก่อนหน้านี้เป็นฝ่ายสามีที่ดำเนินการ ติดต่อธุรกิจ บริหารจัดการทุกอย่าง ซึ่งภรรยาไม่ได้รับรู้วิธีการหรือขั้นตอนใดใดมาก่อนเลย ดังนั้นทุกอย่างก็กลับมาเป็นฝ่ายสามีตัดสินใจเหมือนเดิม เพียงแต่สิ่งที่ออกมาก็คือในนามของภรรยาเท่านั้นเอง ทำให้เมื่อช่วงต้นเดือนพค. ที่ผ่านมา บริษัทฯแม่จากประเทศไทย จึงตัดสินใจเด็ดขาดที่จะยุติการดำเนินธุรกิจร่วมกับสองสามีภรรยาคู่นี้ต่อไป โดยจะจัดตั้งบริษัทฯ ใหม่และถือหุ้นเอง 100%


               ซึ่งพอจะสรุปปัญหาตลอดระยะเวลาประมาณ 6 เดือนที่ผมได้เข้ามาดู หลังจากฝ่ายภรรยาเข้ามาตำรงดำแหน่ง CEO ว่าทำไมบริษัท ยังประสบปัญหาแบบเดิมอยู่ ก็พบว่า


"สาเหตุมาจากผู้บริหารคนใหม่ไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานหรือเกี่ยวกับด้านนี้มาก่อน อีกทั้งการจัดการหรือการตัดสินใจใดใด ก็ยังขึ้นอยู่กับอีกคนหนึ่ง ซึ่งผู้บริหารปัจจุบัน เป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น ทำให้การจัดการล่าช้า และยังเป็นปัญหาแบบเดิมๆ เนื่องจากวิธีการมาจากผู้บริหารคนก่อนที่มีปัญหาแล้วลาออกไป"


               มาถึงตรงนี้แล้ว ก็พอจะพูดได้ว่าถ้าเอาผู้นำที่ไม่มีความรู้ ความสามารถ อีกทั้งยังเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดของใครบางคนอยู่ ไม่ได้มีความคิดเป็นของตนเอง จึงทำให้ไม่สามารถดำเนินกิจการหรือทำธุรกิจให้อยู่รอดได้ นี้ขนาดแค่กิจการบริษัทเล็กๆแห่งหนึ่งเท่านั้น



"ถ้าเกิดมีคนทำลักษณะแบบเดียวกัน
กับสองสามีภรรยาคู่นี้
แต่เป็นในระดับประเทศ

ผมไม่อยากจะคิดเลยว่าผลจะเป็นอย่างไร"




No comments:

Post a Comment